อยากรู้ไหม...ทำไมถึงดื้อยา ???

หน้าแรก » อาหาร และ สุขภาพ » อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ

อยากรู้ไหม...ทำไมถึงดื้อยา ???




อยากรู้ไหม...ทำไมถึงดื้อยา ???  
อยากรู้ไหม...ทำไมถึงดื้อยา ???
ภญ.อัมพร อยู่บาง

     เรามักตั้งคำถามว่าทำไมกินยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อแล้วไม่หายจากโรค(ติดเชื้อ)เสียที? หรือทำไมหายไปแล้วเพียงระยะเวลา
ไม่นานจึงกลับมาเป็นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่หายขาด? หลายท่านมักสงสัยว่าทำไมถ้าเป็นยาปฏิชีวนะแล้ว จะต้องกินยาทุกวันจนครบกำหนดแม้ว่าจะไม่มีอาการของโรคก็ตาม อันนี้เป็นปัญหาสำคัญทีเดียวเนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทำให้บางครั้งหยุดยาก่อนกำหนด หรือไม่กินตามเวลาที่แพทย์สั่ง หรือกินผิดวิธีทำให้ปริมาณยาที่ได้รับไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคได้ ทำให้เกิดการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียค่อนข้างมาก

แบคทีเรียคืออะไร?
     ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องราวของการดื้อยา เรามาทำความรู้จักแบคทีเรียสักเล็กน้อยก่อนนะคะ แบคทีเรีย คือ จุลชีพหรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ซึ่งมีทั้งชนิดที่มีประโยชน์และมีโทษต่อมนุษย์ เมื่อกล่าวถึงแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะมักจะให้ความสนใจกับการดื้อยาของแบคทีเรียก่อโรคเป็นลำดับแรก เพราะเห็นได้ชัดเจนจากการเกิดปัญหาในการรักษาโรคติดเชื้อ เนื่องจากเชื้อจะไม่ถูกยับยั้งหรือทำลายด้วยยาปฏิชีวนะที่เดิมเคยใช้ได้ผล อย่างไรก็ตามการดื้อต่อยาปฏิชีวนะอาจพบในแบคทีเรียกลุ่มจุลชีพประจำถิ่น (normal flora) ซึ่งปกติอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์โดยไม่ก่อให้เกิดโรค แต่จะทำหน้าที่ในการป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อของแบคทีเรียก่อโรค การเกิดการดื้อต่อยาปฏิชีวนะของแบคทีเรียเหล่านี้อาจไม่เห็นผลโดยตรงต่อมนุษย์ แต่จุลชีพประจำถิ่นเหล่านี้จะเป็นแหล่งสะสมของสารพันธุกรรม (gene) ที่ควบคุมการดื้อยาและพร้อมที่จะถ่ายทอดให้แก่เชื้อแบคทีเรียก่อโรคได้ตลอดเวลา และสำหรับยาปฏิชีวนะนั้นเป็นคำที่ใช้เรียกสารเคมีที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งหรือทำลายเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ ยากลุ่ม penicillins

การออกฤทธิ์ของยาปฏิชีวนะ
     การออกฤทธิ์อาจจะเป็นเพียงการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อหรือฆ่าเชื้อ สำหรับการออกฤทธิ์ของยาปฏิชีวนะ แบ่งเป็น 4 กลไก คือ

     1. ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของแบคทีเรีย ได้แก่ ยาในกลุ่ม beta-lactam เช่น penicillins และ cephalosporins
     2. ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ของแบคทีเรีย ได้แก่ ยาในกลุ่ม quinolones
     3. ยับยั้งการสร้างโปรตีนของแบคทีเรีย (โปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหรือเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทในการมีชีวิตของแบคทีเรีย) ได้แก่ ยาในกลุ่ม tetracyclines, chloramphenicals และ macrolides เป็นต้น
     4. ยับยั้งขบวนการสร้างสารอาหารและพลังงานของแบคทีเรีย ได้แก่ ยาในกลุ่ม sulfamethoxazole และ trimethoprim

ทำไมใช้ยาแต่ไม่ได้ผล?
     ความล้มเหลวของการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่

     1. เลือกยาผิดชนิด คือยาไม่มีฤทธิ์ที่ครอบคลุมเชื้อที่ก่อโรค
     2. ใช้ยาผิดขนาด คือขนาดหรือปริมาณยาที่ได้รับไม่เหมาะสมที่จะทำลายเชื้อก่อโรคได้
     3. ใช้ยาปฏิชีวนะไม่นานพอที่จะทำลายเชื้อก่อโรค
     4. ใช้ผิดวิธี เช่น การกินไม่ถูกวิธี โดยยาบางชนิดต้องกินก่อนอาหาร ในขณะที่บางชนิดต้องกินหลังอาหาร ยาบางชนิดห้ามกินร่วมกับนม เป็นต้น ทำให้ปริมาณยาปฏิชีวนะที่ได้รับจริงไม่เพียงพอที่จะกำจัดเชื้อแบคทีเรีย
     5. เชื้อที่ก่อโรคเป็นเชื้อที่ดื้อยา

การดื้อยาปฏิชีวนะ
     แบคทีเรียมีการพัฒนาตนเองให้สามารถทนต่อการทำลายด้วยยาปฏิชีวนะหรือที่เรารู้จักกันว่า “การดื้อยา” ซึ่งมีความรุนแรงมากขึ้นเป็นตามเทคโนโลยีของการผลิตและการใช้ยาปฏิชีวนะตัวใหม่ๆ การดื้อยาของแบคทีเรียเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม (mutation) ของแบคทีเรีย โดยการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเกิดขึ้นที่ส่วนของสารพันธุกรรมหลักของเชื้อที่เรียกว่า โครโมโซม โครโมโซมนั้นประกอบด้วยยีน (gene) ที่จะแสดงออกเป็นลักษณะต่างๆ ของเชื้อมากมายรวมทั้งการดื้อยา ยีนที่ควบคุมการดื้อยานี้สามารถถ่ายทอดจากแบคทีเรียตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่งได้ง่าย จึงทำให้เกิดการแพร่กระจายการดื้อยาจากเชื้อหนึ่งไปสู่อีกเชื้อหนึ่งได้รวดเร็ว

การดื้อยาเกิดขึ้นได้อย่างไร?
     การดื้อยาของแบคทีเรีย เชื่อกันว่าเกิดขึ้นได้ 2 วิธี คือ

     1. เกิดจากการเลือกสรรตามธรรมชาติ (Natural selection) แบคทีเรียแต่ละชนิดจะมีแบคทีเรียที่มียีนดื้อยาอยู่ในตัวปะปนอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่เป็นจำนวนน้อย โดยไม่เกี่ยวข้องกับการมียาปฏิชีวนะหรือไม่ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือเมื่อเชื้อแบคทีเรียชนิดดังกล่าวมีการสัมผัสยาปฏิชีวนะมากและนานขึ้น ยาจะทำลายส่วนที่ไม่ดื้อยาให้หมดไป เหลือส่วนที่ดื้อต่อยาไว้ ซึ่งส่วนนี้ก็จะทำการเจริญเพิ่มจำนวนและแสดงออกเป็นแบคทีเรียดื้อยาอย่างสมบูรณ์

      2. เกิดจากการเหนี่ยวนำให้เกิดโดยการใช้ยาปฏิชีวนะ กล่าวคือแบคทีเรียแต่ละชนิดนั้นจะมีความไวต่อยาอยู่เดิม (ไม่ดื้อยา) แต่เมื่อมีโอกาสสัมผัสกับยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะในขนาดและระยะเวลาในการให้ที่ไม่เหมาะสมที่จะทำลายเชื้อได้หมด เชื้อก็จะพัฒนาการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมในตัวเองให้มีความสามารถทนทานต่อการทำลายของยาได้มากขึ้น

เมื่อเชื้อดื้อยาแล้วจะเป็นอย่างไร? 

     เมื่อเชื้อแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะ ก็เท่ากับว่าเชื้อสามารถทนทานต่อการทำลายมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าเชื้อมีความรุนแรงในการทำให้เกิดโรคมากขึ้น รักษาหายยาก และเมื่อเกิดการดื้อของเชื้อต่อยาชนิดหนึ่งมักจะมีการดื้อต่อยาหลายๆ กลุ่มตามมา ทำให้มียาที่จะให้เลือกใช้น้อยมากหรืออาจไม่มียาใดรักษาได้ในที่สุด
แก้ปัญหา...เชื้อดื้อยา
     1. การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง ได้แก่ การใช้ยาเฉพาะกรณีมีการติดเชื้อแบคทีเรียจริง ใช้ยาในขนาดระยะเวลา และวิธีการที่ถูกต้อง
     2. การใช้ยาปฏิชีวนะในการป้องกันควรใช้เมื่อจำเป็น และสั้นที่สุดภายใต้การคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร
     3. การมีมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อจากผู้ที่ติดเชื้อ สู่ผู้อื่น หรือสู่สิ่งแวดล้อม

     จากที่กล่าวไปทั้งหมดจะเห็นว่าการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกหลักการทำได้ยากกว่ายารักษาโรคทั่วไป เนื่องจากมีหลายประเด็นที่ต้องอาศัยความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะ ดังนั้นเมื่อเกิดความเจ็บป่วยที่สงสัยว่าเกิดจากการติดเชื้อ จึงไม่ควรลองรักษาตัวเองด้วยการซื้อยาปฏิชีวนะมากินโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพราะหากเคราะห์ดีความเจ็บป่วยนั้นอาจจะบรรเทาลงได้ ตรงกันข้ามหากโชคร้ายการใช้ยาเพียงครั้งเดียวก็อาจก่อความเสียหายกับตัวท่านได้มากมาย เช่น โรคลุกลามจนถึงขั้นรุนแรง เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อน เป็นต้น นอกจากนี้การใช้ยาปฏิชีวนะไม่ถูกหลักการยังมีผลกระทบต่อสังคมด้วย เช่น การกระตุ้นให้เกิดเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์ดื้อยาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการรักษาโรคติดเชื้อนั้นในอนาคต เราทุกคนมีส่วนร่วมในการลดปัญหาดื้อยาด้วยการใช้ยาให้ถูกต้องทั้งขนาดและเวลาตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร หากเราไม่ช่วยกันวันนี้ อนาคตเราไม่มียารักษาเลยก็ได้นะคะ

คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะ
 
     • การกินยาปฏิชีวนะ ต้องกินตามเวลาที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ ให้ครบขนาดและกำหนดเวลาอย่างเคร่งครัด

      • ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะเก็บไว้ใช้เองคราวละมากๆ เนื่องจากการติดเชื้อแต่ละประเภทนั้นจะต้องใช้ยาให้เหมาะกับเชื้อที่เป็นสาเหตุ ซึ่งในแต่ละครั้งอาจต่างกันไป จึงควรไปพบแพทย์หรือปรึกษาเภสัชกรทุกครั้งที่สงสัยว่าเป็นโรคติดเชื้อเพื่อจะได้รับยาปฏิชีวนะที่ถูกต้อง

      • เมื่อเกิดอาการที่สงสัยว่าเป็นการแพ้ยาให้รีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ในกรณีที่มีอาการแพ้รุนแรงควรหยุดใช้ยาทันทีแล้วรีบนำยาที่ใช้ขณะนั้นทั้งหมดไปปรึกษาแพทย์ผู้รักษาหรือเภสัชกร เมื่อทราบว่าแพ้ยาใดแล้วจะต้องจดจำไว้เพื่อหลีกเลี่ยงยาดังกล่าวในการรักษาโรคครั้งต่อๆ ไป

      • ไม่ควรแบ่งยาปฏิชีวนะของตนเองให้กับผู้อื่นที่เป็นโรคติดเชื้อ เนื่องจากโรคของผู้อื่นอาจไม่ได้มีสาเหตุจากเชื้อตัวเดียวกับที่ตนเองเป็น

      • ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะที่สงสัยว่าเสื่อมหรือหมดอายุแล้ว สังเกตุได้จากวันหมดอายุซึ่งพิมพ์อยู่บนแผง กล่อง หรือขวดยา หรือลักษณะโดยทั่วไปของยา เช่น เม็ดยาชื้นแฉะ มีสีซีดจาง หรือแตกร้าว เป็นต้น ถ้าเป็นยาปฏิชีวนะชนิดผงแห้งที่ต้องละลายน้ำก่อนใช้ ควรเก็บยาที่ละลายแล้วไว้ในตู้เย็นและใช้ให้หมดภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เกิน 7–10 วัน

      • ยาปฏิชีวนะบางอย่างมีข้อควรระวังพิเศษในการใช้ เช่น ทำให้คลื่นไส้อาเจียน มีผลพิษต่อตับหรือไต มีปฏิกิริยาต่อกันกับยาอื่น มีปฏิกิริยากับอาหารบางประเภท เป็นต้น กรณีเช่นนี้เภสัชกรจะให้คำแนะนำกับผู้ใช้ยาเสมอถึงข้อควรปฏิบัติที่ถูกต้อง
โพสโดย toomticza โทร.085-7906809 หรือ http://[email protected]/">[email protected]  


ราคา: ไม่ระบุต้องการ: ขาย
ติดต่อ: รักษ์อีเมล์: 
โทรศัพย์: IP Address: 180.183.99.137
มือถือ: 0857906809 จังหวัด: ลำปาง



ดูสินค้าอื่นๆ | ลงประกาศ | เลื่อนประกาศขึ้น | ลบประกาศ | แก้ไขประกาศ

[ รับจำนอง ขายฝาก บ้าน ที่ดิน ทั่วประเทศ กู้เงินง่าย ได้เงินไว ไม่เช็คแบล็คลิส ]





ประกาศอื่นๆในหมวดหมู่เดียวกัน 20 รายการ (แสดงทั้งหมด)

รูป   รายละเอียด ราคา
  350 บาท
  350 บาท
  550 บาท
  950 บาท
  370
 
  185 บาท
  350 บาท
  790 บาท
  400 บาท
 
  350 บาท
  350 บาท
  120 บาท
  180 บาท
  0 บาท
  0 บาท
  0 บาท
  0 บาท
  380 บาท