คุณทราบหรือไม่ว่า...โรคต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพร่างกายที่เป็นกรด...คือ...โรคอะไรบ้าง...ถ้าไม่รู้ (โปรดคลิ๊ก) เพื่อประโยชน์ต่อตนเองและคนรอบข้างตนเอง

คุณทราบหรือยังว่า...
โรคต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพร่างกายที่เป็นกรด...คือ...โรคต่อไปนี้

มะเร็ง โรคเส้นเลือดในสมองแตก อาการท้องผูก นิ่วในถุงน้ำดี โรคเกาท์ ผื่นแดงบนผิวหนัง ผิวสีคล้ำ ความดันโลหิตสูง ความผิดปกติของหัวใจ เบาหวาน โรคอ้วน ภาวะโลหิตมีคลอเลสเตอรอลมากผิดปกติ อวัยวะทำงานไม่ปกติ เนื้อเยื้อที่บวมรอบไขข้อ โรควิกลจริต โรคโลหิตจาง โรคชักกระตุก โรคตับอักเสบ โรคไต อาการบวมน้ำ สิว ผิวหนังติดเชื้อ แผลพุพองมีหนอง หัวใจล้มเหลว อาหารไม่ย่อย การเติบโตผิดปกติ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ภาวะโลหิตมีไตรกลีเซอไรด์ในเลือดมากผิดปกติ ฮอร์โมนไม่สมดุล

การที่ร่างกายมีสภาพเป็นกรด...อันเนื่องมาจาก...รัปประทานอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดมากเกินไป ได้แก่ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล อาหารกระป๋อง น้ำตาล เกลือ ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ชา กาแฟ บุหรี่ ซอฟดริ้งค์ ยา

อาการที่มีฤทธิ์เป็นด่าง ได้แก่ ผัก ผลไม้

เปรียบเทียบ % ของอาหารที่มีฤทธิ์สภาพเป็นด่าง

นม 2.7% (ต่อ 100 กรัม)
กระหล่ำปลี 2.7% (ต่อ 100 กรัม)
มะเขือเทศ 5.6 % (ต่อ 100 กรัม)
กล้วย 7.9% (ต่อ 100 กรัม)
ขึ้นฉ่าย 8.4% (ต่อ 100 กรัม)
ผักโขม 39.6% (ต่อ 100 กรัม)
ข้าวสาลี 66.4% (ต่อ 100 กรัม)

Information source : Food Analysis Center , Japan 
แหล่งที่มา : หน่วยงานกลางวิเคราะห์อาหารของประเทศญี่ปุ่น

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ข้าวสาลี จึงได้รับฉายาว่า เป็นราชาแห่งอาหารด่าง

อาหารที่ควรรับประทานในแต่ละมื้อควรมีอัตราส่วนดังนี้

รับประทานอาหารประเภทกรด 20% รับประทานอาหารประเภทด่าง 80%

มนุษย์ส่วนใหญ่ ณ ปัจจุบัน รับประทานกลับกันดังต่อไปนี้ จึงเป็นที่มาของการเกิดโรค

รับประทานอาหารประเภทกรด 80% รับประทานอาหารประเภทด่าง 20%

ดังนั้นการแก้ปัญหาจากสภาพร่างกายที่เป็นกรดได้อย่างไร

ต้องแก้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง

ผมขอนำเสนอ ชาต้นข้าวสาลีฤดูหนาว (ราชาแห่งอาหารด่าง) ที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับท่านได้

ข้าวสาลียังช่วยในการ...

1.ปรับสภาพร่างกายไม่ให้เป็นกรด
2.ช่วยในขบวนการล้างสารพิษในร่างกายและเซลล์เลือด โดยปราศจากผลข้างเคียง
3.เสริมสร้างระบบการหมุนเวียนออกซิเจนออกซิเจนในเลือด
4.ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง เป็นประโยชน์อย่างมากกับผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจาง
5.ฟื้นฟูการทำงานของตับและช่วยทำความสะอาดตับและล้างสารพิษที่ตกค้าง
6.ลดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในร่างกายเช่น กลิ่นตัว ปัสสาวะ อุจจาระ
7.ขจัดกลิ่นปากและกลิ่นลมหายใจที่ไม่พึงประสงค์
8.ช่วยลดปัญหาอาการท้องผูกและเสริมสร้างระบบการย่อยอาหารให้ดีขึ้น
9.เสริมสร้างระบบเผาพลาญในร่างกาย และสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
10.ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น
11.บรรเทาอาการแผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลผุพอง และโรคริดสีดวงทวาร
12.ชะลอความแก่ชรา
13.ลดระดับน้ำตาลในเลือด (กรณีผู้ป่วยโรคเบาหวาน)
14.ช่วยลดความดันโลหิต
15.เสริมสร้างสุขภาพโดยรวม เนื่องจากข้าวสาลีช่วยบำรุงร่างกาย โดยมีสารอาหารที่ครบถ้วน รวมทั้งกรดอะมิโน และเอนไซม์ 

คุณค่าทางโภชนาการ : ชาต้นข้าวสาลีฤดูหนาว (ต่อ100กรัม)

Energy               1518.9  kj         Vitamin A          3987  IU        Manganese       3.13  mg
Protein                22.92  g           Vitamin D        173.5  IU        Magnesium     102.8  mg
Chlorophyll         2420  mg        Vitamin K           0.31  IU        Potassium         2629 mg
Fiber                      20.2  g            Vitamin E          2.77  mg       Phosphorus       1.03 mg
Vitamin F              793  mg         Vitamin C           842  mg       Sulfur                  89  mg
Vitamin B1          0.53  mg          Folic  Acid       0.060 mg       Sodium              1143 mg
Vitamin B2          0.39  mg          Choline           131.7  mg       Zinc                     4.12  mg
Vitamin B5      0.0021 mg           Calcium             140  mg       Vitamin B6          1.2  mg          
Vitamin B1         0.53  mg           Vitamin B12   10.38  mg      Iron                     3.80  mg   
Total  Amino  Acid  = 5.86%
ชาต้นข้าวสาลียังมีวิตามินดี ยังทำให้ตายช้า ตามข้อความข้างล่าง

 
วิตามินดีมีคุณมากกว่าเดิม คนที่กินทุกวันตายช้ากว่า
ชาต้นข้าวสาลีฤดูหนาว มีวิตามินดี 173.5 IU  
 










วารสารอาร์ไคฟ์ ออฟ อินเทอร์นอล เมดิซิน รายงานการศึกษาของนักวิจัยยุโรป ที่สรุปว่า การกินวิตามินดีทุกวันจะช่วยให้มีอายุยืนยาวขึ้น ทั้งนี้เป็นผลจากการศึกษาเรื่องผลกระทบจากวิตามินดี จากการวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในกลุ่มผู้ป่วยเกือบ 60,000 คน จากผลการศึกษาเรื่องวิตามิน 18 ชิ้นก่อนหน้านี้ที่มีการตีพิมพ์ไปแล้ว จนถึงปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าวิตามินดีเป็นประโยชน์ต่อกระดูกและฟัน
ทีมนักวิจัยจากหน่วยงานวิจัยนานาชาติว่าด้วยมะเร็ง ในลียง และสถาบันวิจัยมะเร็งยุโรป ในมิลาน กล่าวว่า   สารประกอบ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “วิตามินแสงแดด” ที่สร้างขึ้นโดยผิวหนังเมื่อต้องแสงอาทิตย์นั้น จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง เบาหวาน และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (เอ็มเอส) ถ้าหากได้รับวิตามินดีเข้าสู่ร่างกายได้ในระดับสูง ก็จะมีบทบาทอย่างสำคัญในการลดการเป็นโรคหัวใจ และป้องกันอาการครรภ์เป็นพิษลงได้
หัวหน้าคณะวิจัยกล่าวว่า   หลังจากตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดแล้ว พบว่าคนที่กินวิตามินดีทุกวันจะมีอายุยืนกว่าคนที่ไม่ได้กินถึง 7 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงว่าจะมีอายุยืนขึ้นอีก 1-2 ปี อย่างไรก็ตาม กลไกที่ทำให้เกิดผลเช่นนี้ยังไม่ชัดเจนนัก แต่คาดว่าอาจจะเป็นเพราะวิตามินดี เข้าไปปิดกั้นเซลล์มะเร็งไม่ให้กระจายตัว หรือกระตุ้นระบบภูมิคุ้มโรคก็ได้